แถลงการณ์สำนักจุฬาราชมนตรี
เรื่อง แนวทางการปฏิบัติตนในสถานการณ์
การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19)

-----------------------

 

   ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ที่กำลังขยายพื้นที่การแพร่ระบาดไปยังหลายประเทศทั่วโลก จนทำให้องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ยกระดับการเตือนภัยการระบาดของโรคฯ ในระดับ “สูงมาก” และกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข มีความกังวลว่าสถานการณ์ในประเทศไทยอาจเข้าสู่การระบาดระยะที่ 3 นั้น

   ในการนี้ เพื่อป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ให้สัมฤทธิ์ผลและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากการปฏิบัติตามคำแนะนำของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข แล้ว สำนักจุฬาราชมนตรีใคร่ขอความร่วมมือมุสลิมทุกคนได้ยึดแนวทางการปฏิบัติตนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวด้วยความเคร่งครัด ดังนี้

1. หลีกเลี่ยงการสลามด้วยการสัมผัสมือ การสวมกอด และการสัมผัสแก้ม โดยให้ยกมือสลามกันเท่านั้น

2. สำหรับศาสนสถาน (มัสยิด) ให้ผู้ดูแลสถานที่ปฏิบัติ ดังนี้

2.1 จัดให้มีการทำความสะอาดอุปกรณ์และบริเวณที่มีผู้สัมผัสปริมาณมาก เช่น ราวบันได ลูกบิดประตู ห้องน้ำ ด้วยน้ำยาทำความสะอาดหรือน้ำผงซักฟอก และแอลกอฮอล์ 70 เปอร์เซ็นต์ อย่างสม่ำเสมอและบ่อยกว่าปกติ

2.2 หมั่นทำความสะอาดมัสยิดหรือสถานที่ละหมาด พรมปูละหมาดในมัสยิด ผ้าปูสำหรับละหมาด ตลอดจนชุดที่เตรียมไว้สำหรับใส่ละหมาด ด้วยผงซักฟอกหรือน้ำยาฆ่าเชื้อ หรืองดการใช้และเก็บชุดและพรมดังกล่าว 

2.3 จัดหาเจลล้างมือแอลกอฮอล์และหน้ากากอนามัยไว้บริเวณภายในมัสยิด เช่น ประตูทางเข้า จุดประชาสัมพันธ์ ห้องสุขา จุดปฐมพยาบาล เป็นต้น

3. หลีกเลี่ยงหรืองดการจัดกิจกรรมสาธารณกุศล การจัดค่ายอบรมเยาวชน การจัดประชุมสัมมนา หรือกิจกรรมอื่นที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นจะต้องจัดกิจกรรม ให้ผู้จัดเตรียมความพร้อมในการคัดกรองผู้เข้าร่วมกิจกรรมและมีมาตรการในการป้องกันและควบคุมโรคที่เข้มงวด สำหรับผู้เข้าร่วมกิจกรรมให้สวมใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งและปฏิบัติตามแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด

4. ศาสนาอนุญาตให้สวมใส่หน้ากากอนามัยขณะละหมาดในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ และหากมีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก แม้จะมีอาการไม่มาก ให้งดการไปร่วมละหมาดญะมาอะฮ์หรือละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิด

5. งดการรับประทานอาหารแบบใส่ถาดรวม ให้แบ่งใส่ภาชนะที่ใช้เฉพาะของตนเองและงดการรับประทานอาหารแบบใช้มือป้อน โดยให้ใช้ช้อนที่ใช้เฉพาะของตนเอง หรือล้างมือให้สะอาด และใช้ช้อนกลางในการรับประทานอาหาร

6. งดการอาบน้ำละหมาดในบ่อน้ำหรืออ่างใหญ่ร่วมกัน โดยให้ใช้ภาชนะส่วนตัวตัก หรือใช้ก๊อกน้ำแทน 

7. การตะฮ์นีกเปิดปากเด็กทารกแรกเกิด ให้ล้างทำความสะอาดมือเป็นอย่างดี 

8. ขอความร่วมมือผู้ที่เดินทางไปประกอบพิธีอุมเราะห์ที่ประเทศซาอุดิอาระเบียตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 จนถึงปัจจุบัน หากมีอาการไข้หวัด ให้ไปพบแพทย์โดยด่วน ส่วนผู้ที่เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทยในเดือนมีนาคม ให้พักอยู่บ้าน 14 วัน และพยายามอยู่ห่างจากคนอื่นประมาณ 1 เมตร ทั้งนี้ เพื่อเฝ้าดูอาการและรายงานอาการให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขรับทราบทุกระยะ

9. ให้นักเรียน นักศึกษา และผู้ที่เดินทางไปออกดะวะห์ที่เดินทางกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข และประเทศที่พบผู้ป่วย รีบไปแจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือไปพบแพทย์โดยด่วน

10. ให้ทุกคนมีความอดทนต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและวิงวอนขอดุอา (ขอพร) จากอัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้า ให้การทดสอบครั้งนี้ผ่านพ้นไปด้วยดี หมั่นขออภัยโทษต่อพระองค์ เพราะการขออภัยโทษเป็นประจำจะทำให้ภัยพิบัติต่าง ๆ หมดไป และทำให้มีความแข็งแกร่งขึ้นในการเผชิญกับภัยพิบัติเหล่านั้น

  เนื่องด้วยการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ได้แพร่กระจายเป็นวงกว้าง มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น จึงถือได้ว่าเป็นโรคระบาดที่ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ดังเจตนารมณ์ของหลักนิติศาสตร์อิสลามที่ว่า

          “ปัดป้องสิ่งที่จะก่อให้เกิดความเสียหายก่อนที่จะกระทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์” และ 

         “ให้แบกรับความเสียหายส่วนตน เพื่อปกป้องมิให้เกิดความเสียหายต่อส่วนรวม”

   และวจนะศาสดามุฮัมหมัด (ซ.ล.) ความว่า

         “เมื่อรู้ว่าแผ่นดินใดเกิดโรคระบาด ก็จงอย่าได้เข้าไปยังแผ่นดินนั้น และหากแผ่นดินที่อาศัยอยู่เกิดโรคระบาด ก็จงอย่าได้ออกจากแผ่นดินนั้น”  (รายงานโดย อิหม่ามบุคอรี)

         ดังนั้น การปฏิบัติตามแนวทางข้างต้นในการระวังป้องกันมิให้โรคระบาดดังกล่าวแพร่กระจาย ถือเป็นศาสนบัญญัติที่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม ดังพจนารถแห่งอัลลอฮ์ (ซ.บ.) ความว่า

         “และพวกเจ้าอย่าได้สังหารตนเอง โดยกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดลงไป อันเป็นเหตุให้พวกเจ้าต้องเสียชีวิตในโลกนี้ แท้จริงอัลลอฮ์นั้นทรงโปรดปรานยิ่งต่อพวกเจ้าในประการที่ทรงห้ามพวกเจ้ามิให้สังหารตนเอง”  (บทอันนิซาอ์  โองการที่ 29)

         และอัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้า มิได้ให้เกิดความยากลำบากในการปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาแก่บ่าวของพระองค์ ดังพจนารถแห่งพระองค์ ความว่า

         “อัลลอฮ์ทรงเลือกเฟ้นพวกเจ้าแล้วให้เป็นกลุ่มชนแรกที่นำศาสนาของพระองค์สู่ชาวโลกทั้งมวล และพระองค์มิได้ให้พวกเจ้าเกิดความยากลำบากในการปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา”  (บทอัลฮัจญ์ โองการที่ 78)

 

สำนักจุฬาราชมนตรี

6  มีนาคม 2563

 

*หมายเหตุ : ตามที่สำนักจุฬาราชมนตรีได้ออกแถลงการณ์ในเรื่องดังกล่าว ลงวันที่ 5 มีนาคม 2563 นั้น เนื่องจากในข้อ 9 ได้ระบุชื่อประเทศที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อประเทศกลุ่มเสี่ยง ดังนั้น จึงขอแก้ไขรายละเอียด โดยใช้แถลงการณ์ฉบับนี้ (ลงวันที่ 6 มีนาคม 2563) แทนฉบับเดิม ทั้งนี้ สำนักจุฬาราชมนตรีใคร่ขออภัยเป็นอย่างสูงมา ณ ที่นี้