ดอกเบี้ยกับซะกาต
  • 23 กุมภาพันธ์ 2018 at 14:23
  • 4326
  • 0

ในระบบทุนนิยมที่วางพื้นฐานอยู่บนระบบดอกเบี้ยและมีกำไรเป็นแรงจูงใจในการทำธุรกิจ หากนักธุรกิจคิดจะลงทุนทำอะไรสักอย่างหนึ่ง นักธุรกิจก็จะต้องนำปัจจัยทั้งสองมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจสำหรับคนที่มีเงินทุนเป็นของตนเอง ถ้ากำไรที่ได้ต่ำกว่าหรือเท่ากับดอกเบี้ยเขาก็จะไม่ลงทุนถึงแม้ว่าโครงการนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมก็ตามเพราะถ้าเขาเอาเงินฝากธนาคารเขาก็จะได้ดอกเบี้ยตอบแทนโดยไม่ต้องเหนื่อยและไม่ต้องเสี่ยง ยิ่งถ้าต้องไปกู้ด้วยแล้วไม่จำเป็นต้องพูดถึง เมื่อเป็นเช่นนี้การลงทุนก็ไม่เกิดขึ้นในสังคม เมื่อไม่มีการลงทุนก็ย่อมไม่มีการจ้างงาน ไม่มีการกระจายรายได้และไม่มีการเจริญเติบโตเป็นธรรมดา
 

          ดังนั้นถ้าหากว่าจะมีการลงทุนนักธุรกิจก็จะต้องบวกกำไรให้สูงกว่าอัตราดอกเบี้ย ราคาสินค้าก็จะสูงเพราะมีดอกเบี้ยเป็นต้นทุนอยู่ด้วย คนที่รับภาระจ่ายดอกเบี้ยก็คือผู้บริโภคซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนยากคนจนที่ไม่มีเงินฝากในธนาคาร แต่คนที่ได้เปรียบก็คือคนที่มีเงินล้านฝากเพื่อกินดอกเบี้ยอยู่ในธนาคาร


          ในระบบดอกเบี้ยถ้าหากใครมีเงินฝากอยู่ในธนาคาร 10 ล้านบาท ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
8 % ภายในหนึ่งปีคนผู้นั้นก็จะมีรายได้จากดอกเบี้ย 8 แสนบาท โดยไม่ต้องทำงานและไม่ต้องเสี่ยงใดๆ เงินจำนวนนี้มาจากนักธุรกิจและผู้บริโภคที่ต้องดิ้นรนหามาให้เขาผ่านทางระบบธนาคาร เมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลงคนเหล่านี้จะสูญเสียรายได้จากดอกเบี้ยและจะออกมาร้องเอะอะโวยวายและเนื่องจากคนที่ร่ำรวยมั่งคั่งมักจะมีอิทธิพลทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ รัฐบาลจึงต้องหาทางช่วยคนพวกนี้ด้วยวิธีการต่างๆ เช่น การขายพันธบัตรที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่าเป็นต้น แต่ในที่สุดแล้วดอกเบี้ยที่นำมาจ่ายให้เจ้าของพันธบัตรก็คือภาษีจากประชาชนนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ระบบดอกเบี้ยจึงเป็นระบบที่เอาเปรียบและกดขี่ขูดรีดคนยากจน


          หลังจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรปในศตวรรษที่ 19 ระบบทุนนิยมได้ถ่างช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนให้กว้างมากขึ้น ประชาชนในหลายประเทศได้เห็นความไม่เป็นธรรมดังกล่าวจึงได้ร่วมกันลุกขึ้นปฏิวัติหรือไม่ก็ยึดกิจการของเอกชนเข้าเป็นของรัฐและนำเอาระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์เข้ามาใช้แทนระบบทุนนิยมโดยหวังว่าระบบนี้จะเป็นยาขนานเอกที่ช่วยเยียวยารักษาความเจ็บปวดจากการถูกกดขี่ขูดรีดในระบบทุนนิยมได้ แต่ในศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา กาลเวลาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าลัทธิคอมมิวนิสต์เองนอกจากจะไม่ได้ช่วยให้สังคมได้รับความเป็นธรรมตามอุดมการณ์จริงๆ แล้วยังทำให้ชาวโลกนับร้อยนับพันล้านคนในประเทศต่างๆ ต้องรับการกดขี่ขูดรีดและต้องล้มตายลงไปจากการช่วงชิงอำนาจการเมืองกันเองในหมู่ผู้นำและการต่อสู้กับระบบทุนนิยม จนในปัจจุบันนี้อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ได้ผ่อนคลายหลักการและท่าทีของตนเองลงไปมากหรือในบางประเทศก็เลิกใช้อุดมการณ์นี้ไปแล้ว แต่สิ่งที่ยังคงเหลือทิ้งไว้จากการต่อสู้ของสองอุดมการณ์ที่ขัดแย้งกันก็คือความไม่เป็นธรรมทางสังคมอีกนั่นเอง


อิสลาม : ทางเลือกที่สันติและเป็นธรรม
         เพื่อขจัดความขัดแย้งทางสังคมและเพื่อสร้างความเป็นธรรมขึ้นในระบบเศรษฐกิจอิสลามได้เสนอเสรีภาพในการประกอบอาชีพและการแสวงหากำไรให้แก่มนุษย์ในขณะทีระบบคอมมิวนิสต์ไม่เปิดโอกาสให้ ขณะเดียวกันอิสลามก็เสนอให้ทำลายระบบดอกเบี้ยซึ่งเป็นรากเง่าของการกดขี่ขูดรีดในระบบทุนนิยมเสียเพื่อมิให้คนมั่งคั่งร่ำรวยได้เปรียบคนยากจน โดยไม่ต้องออกแรงทำงานนอกจากนี้แล้วอิสลามยังกำหนดไว้อีกว่าหากในแต่ละปีใครมีทรัพย์สิน เช่น เงิน ทองคำ หุ้น และสินค้ามูลค่าเท่ากับราคาทองคำหนัก 5.6 บาท ขึ้นไปจะต้องจ่าย 2.5 % ของทรัพย์สินดังกล่าวเป็นซะกาตแก่บุคคล 8 ประเภท ที่ศาสนากำหนดไว้ เช่น คนยากจน คนขัดสน คนมีหนี้สิน เป็นต้น


          ดังนั้นหากมุสลิมคนใดมีเงินฝากธนาคารสมมุติว่า 10 ล้านบาท เพื่อเอาดอกเบี้ยไปกินไปใช้เป็นการส่วนตัวนั่นก็หมายความว่าเขายอมรับบาปที่หนักเท่ากับการผิดประเวณีกับแม่ของตัวเอง นอกจากจะรับดอกเบี้ยไม่ได้แล้วเขายังมีหน้าที่ทางศาสนาที่จะต้องจ่ายซะกาตอีก 2.5 % ทุกปีด้วย
 

          ในสภาวะเศรษฐกิจถดถอยผู้คนจะจับจ่ายใช้สอยกันน้อยลง จึงไม่มีใครคิดที่จะลงทุนเพราะความเสี่ยงสูงถึงแม้ดอกเบี้ยจะต่ำก็ตามที่ ดังนั้นเศรษฐกิจที่ถดถอยอยู่แล้วก็ยิ่งถดถอยหนักยิ่งขึ้นและในระบบทุนนิยมนั้นไม่มีมาตรการใดๆ ที่จะผลักดันเงินของเศรษฐีที่นอนอยู่เฉยๆ ให้ออกมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ แต่ในอิสลามข้อกำหนดเรื่องการจ่ายซะกาตนี้จะผลักดันให้เงินออกมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพราะถ้าหากใครเก็บเงินไว้เฉยๆ โดยไม่นำออกมาหารายได้ให้เพิ่มพูนขึ้น ซะกาตก็จะกินทรัพย์สินของเขาไปปีละ 2.5 % ทุกปี ดังนั้นถ้าหากมีการลงทุนใดๆ ที่จะให้กำไร 2.5 % ขึ้นไป เขาก็จะนำเงินออกมาลงทุนเพื่อให้มีรายได้เข้ามาชดเชยซะกาตที่เขาจะต้องจ่าย ด้วยเหตุนี้ในระบบอิสลามซะกาตจึงเป็นกลไกอันหนึ่งที่จะผลักดันเงินที่ออมอยู่นิ่งๆของคนที่มั่งมีออกมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอยู่ตลอดเวลา


          ระบบเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันไม่มีมาตรการใดๆ ที่จะผลักดันความมั่งคั่งของคนมั่งมีให้ออกมาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ ภาษีมรดกและภาษีทรัพย์สินก็เป็นฝันที่ค้างกันมานับยี่สิบปี ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลทำได้ก็คือการไปกู้เงินจากต่างประเทศหรือกู้เงินจากสถาบันการเงินในประเทศเข้ามาอัดฉีดลงไปในระบบเศรษฐกิจ แต่ผลที่ตามมาก็คือรัฐบาลต้องมีหนี้สินมากขึ้นและคนที่ต้องชำระหนี้สินก็คือประชาชนผู้จ่ายภาษีอีกนั่นเองไม่ใช่เศรษฐี

 

โดย : บรรจง  บินกาซัน